28/03/2024

เมื่อพูดถึงอาหารไทยแบบดั้งเดิมรสมือรุ่นคุณปู่ย่าตายาย บอกได้เลยว่าเดี๋ยวนี้หายากยิ่งกว่าหาแฟนซะอีกนะคะ แต่เราก็ยังพยายามดั้นด้นไปหาที่รับประทานอาหารแบบนี้ในกทม. พอดีมีรุ่นพี่แวดวงไฮโซคนนึงแนะนำเราว่าไปร้านนี้สิ อร่อยหรู ดูดี และดั้งเดิมมากๆ แม้แต่สถานที่ของร้าน ก็ถูกดัดแปลงจากบ้านไม้ยุคเก่ามาทำให้ดูสวยเรียบสง่างามในซอยร่วมฤดี แยก 1 ที่ๆ เราจะพาไปชิมอาหารรสดั้งเดิมนี้ก็คือ ร้านอาหาร “บ้านกลมกิ๊ก “ ฟังชื่อแล้วอาจจะคุ้น เพราะเคยออกรายการทางช่อง 5 มาแล้ว อีกทั้งเจ้าของร้านและหุ้นส่วนก็คือซูโม่กิ๊ก หรือเกียรติ กิจเจริญ  นักแสดง พิธีกร และเจ้าของรายการกลมกิ๊ก เป็นรายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ตลก ซึ่งจะมีช่วงการทำอาหารโดยคุณแม่สุชาดา กิจเจริญ โดยปัจจุบันรายการนี้ได้เลิกผลิตไปแล้ว แต่ด้วยความโด่งดังในฝีมือทำอาหารของคุณแม่สุชาดา ซูโม่กิ๊ก จึงร่วมหุ้นกับคุณเปี๊ยก จรัสพงศ์ จารุโชติพัฒน์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มาเปิดร้านอาหารในซอยร่วมฤดี แล้วใช้ชื่อว่าบ้านกลมกิ๊ก ตามชื่อรายการนั่นเอง

 มาเริ่มกันที่บรรยากาศของร้านกันก่อน ทางเข้าร้านก็มีป้ายโลโก้กลมๆและตัวอักษรบ้านกลมกลิ๊กภายในวงกลม โดดเด่นด้วยสีขาวดำ และมีซุ้มประตูเดินผ่านเข้าไปภายในร้าน  ภายในบริเวณร้านก็ตกแต่งแบบคลาสสิก เรียบง่าย เน้นสีขาวดำ ตัวบ้านเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ทำให้นึกถึงบ้านสมัยก่อนที่รู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างบอกไม่ถูก ด้านนอกจะเป็นส่วน Open air ซึ่งจะมีรับรองลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ ไม่ต้องกลัวแดด กลัวฝน เพราะมีหลังคารองรับ ประดับประดาด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ร่มรื่นและมีสนามหญ้าเล็กๆไว้ให้เด็กๆได้วิ่งเล่น หรือพักผ่อน อิริยาบถได้อีกด้วย  เดินผ่านเข้ามาเจอประตูขวามือ เพื่อเข้าไปภายในห้องแอร์ก็มองเห็นภาพถ่ายครอบครัวกิจเจริญใส่กรอบติดไว้รอบฝาผนังอย่างโดดเด่นและสวยงามมาก ภายในร้านจะมีโต๊ะเก้าอี้ในโทนขาวดำ ส่วนทางเดินเข้าไปภายในส่วนของการเตรียมอาหารและห้องน้ำ มีฉากเป็นชั้นไม้โปร่งสีน้ำตาลกั้นทางเดินเข้า ที่นำของประดับมีราคามาตกแต่งอยู่ด้วยทุกชั้น  ส่วนโคมไฟก็เป็นสีนวลส่องทุกโต๊ะ ทำให้บรรยากาศภายในร้าน รู้สึกสัมผัสได้ในยุคเก่าที่เรียบหรูดูดี นอกจากชั้นล่างแล้ว ยังมีชั้นสองที่เปิดรองรับลูกค้าเพิ่มอีกด้วย บรรยากาศชั้นสองขอบอกว่าไม่น้อยหน้าชั้นล่างเลยทีเดียว แถมโปร่งโล่งด้วยกระจกบานใหญ่หลายบานที่ทำให้มองเห็นบรรยากาศภายนอกร้านได้สบายๆ อีกด้วย

เราได้พบกับพี่เปี๊ยก จรัสพงศ์ จารุโชติพัฒน์ ผู้จัดการร้านและหุ้นส่วนคนสำคัญของร้าน มาต้อนรับแบบกันเอ้ง กันเอง แล้วก็จัดอาหารคาวหวานมาให้ทานกันแบบอิ่มแล้วอิ่มอีก ก็ยังยอมทาน เพราะรสชาติอาหารแต่ละจาน เข้มข้น จัดจ้านด้วยฝีมือและเมนูที่คุณ แม่สุชาดาได้ปรุงด้วยตัวเอง และบางเมนูก็คิดสูตรขึ้นมาใหม่ให้เรารู้สึกทึ่งในการครีเอทของคุณแม่มากๆ อย่างเช่น เมนูแกงเขียวหวานลูกชิ้นมังกร ที่นำมาดัดแปลงเพิ่มเติมด้วยไข่เค็ม แกงคั่วใบชะพลูหอยแครงรสชาดจัดจ้านแต่ไม่เผ็ด ถ้าไม่ชอบหอยแครงก็เปลี่ยนเป็นเนื้อปูได้อีกด้วย ชุดน้ำพริกปลาทู+ผักเพื่อสุขภาพ  สำหรับเมนูยำถั่วพูและปลาดุกฟูผัดพริกขิง ต้องบอกว่ากลมกิ๊ก กลมกล่อมมากๆ   

อีกหนึ่งเมนูที่ต้องบอกว่าเป็น SIGNATURE ของร้านเลยก็คือ ไข่เจียวคุณแม่สุชา ซึ่งอร่อยนุ่มชุ่มชื่นไปด้วยเนื้อไข่ที่ผสมด้วยนมสดที่หอมมากๆ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียม และยังมีเมนูอีกหลากหลายที่พี่เปี๊ยกนำมาเพิ่มความอิ่มอ้วนให้เรา อิ่มหนำสำราญบานใจ แล้วก็ต้องมาถึงเครื่องดื่มหลากหลายเมนูที่รุมกันเข้ามาทั้งน้ำมะพร้าวสดจากลูกมะพร้าว น้ำสตรอเบอรี่โซดา น้ำแอปเปิ้ลโฟล์ท น้ำกระเจี๊ยบ ลอดช่องน้ำกะทิ ส้มลอยแก้ว  เฉาก๊วยชากังราว ข้าวเหนียวเปียกลำไย กล้วยบวชชี ข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าทานทั้งนั้น

      พี่เปี๊ยก บอกเล่าให้เราฟังว่า ร้านนี้มีแรงบันดาลใจจากการที่คุณน้าคือคุณแม่สุชาดา ซึ่งเป็นแม่ของคุณซูโม่กิ๊กเคยออกรายการเมื่อนานมาแล้วชื่อรายการบ้านกลมกิ๊ก  จะมีการเชิญดารามาชิมอาหาร สูตรสมัยก่อนจะใช้วิธีชิมแล้วเติมไม่มีสูตรตายตัวขาดรสไหนก็เติมลงไปจนอร่อย  ซึ่งก็มีเหล่าดาราต่างชื่นชอบในรสชาติของอาหารถามว่า แล้วจะหาทานแบบนี้ได้ที่ไหน เลยจึงตัดสินใจเปิดร้านเมื่อประมาณ 11 ปีที่แล้ว จำได้ว่าลูกค้าเยอะมาก ที่นั่งไม่พอ ทั้งคนไทยและต่างชาติ  ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เป็นชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในประเทศไทย ซึ่งมักจะสั่งแกงเขียวหวานเนื้อ มัสมั่นไก่  กุ้งแม่น้ำเผาที่ต้องสั่งมาจากอินโดนีเซีย และไข่เจียวแม่สุชา ซึ่งจะมีลักษณะเด่นมากกว่าไข่เจียวทั่วไปคือต้องใช้ 6 ฟอง ผสมนมลงไปทอดแบบไม่ต้องใช้น้ำมัน ค่อยๆเทจากที่สูงลงในกะทะ แล้วพับครึ่งไข่เจียว ก็จะทำให้ไข่นุ่มหอมน่ารับประทานมากๆ ค่ะ 

อาหารที่ร้านนี้จะไม่ค่อยเผ็ดเพราะเป็นลูกค้าต่างชาติซะส่วนใหญ่  ส่วนลูกค้าคนไทยมักจะสั่งแกงส้ม แกงเหลืองมะละกอปลากะพงที่มีรสเผ็ดจัดจ้าน และแกงไตปลาที่จะมีรสเผ็ดมากกว่าอาหารอื่นๆ ส่วนปลาหมึกแดดเดียวก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีรสชาติอร่อยนุ่ม ไม่เหนียว ต้องสั่งซื้อจากปราณบุรี ซึ่งเป็นที่เดียวเท่านั้นที่ขึ้นชื่อเรื่องปลาหมึกแดดเดียว และที่บ้านกลมกิ๊กนี้ ยังมีอาหารขึ้นชื่อของอิสานที่ต้องบอกว่าเด็ดจริงๆ  นั่นคือปลาร้า ที่ต้องบอกว่าอร่อยแซ่ปมากกกกค่ะ

เคล็ดลับของการทำอาหารพี่เปี๊ยกบอกว่าคุณน้าสุชาดาต้องซื้อของสดทุกวัน ซื้อไม่เยอะ แต่ซื้อทุกวัน อาหารที่นี่ต้องบอกว่ามีให้ทานกันทุกภาคเลยค่ะ  อยากทานอาหารภาคไหนขอให้บอก

นอกจากอาหารที่บอกมาทั้งหมดในร้านแล้ว ยังมีอาหารกล่องสำเร็จรูปที่มีกรรมวิธีแยบยลมากๆ ไม่ต้องอุ่นด้วยไมโครเวฟ ไม่ต้องใช้น้ำร้อน ก็สามารถร้อนระอุพร้อมรับประทานได้อย่างอร่อยมากมายเลยทีเดียว

ในส่วนของอาหารกล่องนี้มีชื่อเรียกว่า กลมกิ๊กทูโก  เป็นส่วนที่คุณแก้ว กรณ์ กิจเจริญน้องชายของคุณซูโม่กิ๊ก เป็นผู้ที่ดูแลมีอาหารทั้งหมด 4 เมนู คือ ข้าวหอมมะลิแกงเขียวหวานไก่ ข้าวหอมมะลิแกงมัสมั่นไก่ ข้าวขาหมูพะโล้ และ ข้าวหอมมะลิคั่วกลิ้งหมู  คุณแก้วได้มาสาธิตวิธีการทำอาหาร กลมกิ๊กทูโกให้เราได้ชมกันแบบจะๆ ตาต่อตา กันเลยค่ะ ขั้นตอนของการทำกลมกิ๊กทูโกนั้นไม่ยากเลย ต้องบอกว่าอะเมสซิ่งมากๆ เพราะไม่ต้องมีไมโครเวฟ ไม่ต้องใช้น้ำร้อนใดๆ  สามารถทำทานได้ทุกที่บนโลกนี้ คุณแก้วบอกมาแบบนี้ และยังเล่าว่า เมนูนี้คุณแม่สุชาดาทำตั้งแต่ขายอาหารที่เอแบค เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว สามารถนำไปทำทานเองได้ง่าย ๆ คือ แกะกล่องอาหารออกมา จะมีใบสาธิตการทำอาหาร จะมีข้าวสวยหอมมะลิ 1 กล่อง กับข้าว1 ซอง  ช้อนส้อม น้ำปลาพริก และอุปกรณ์สำหรับทำให้ร้อน คือน้ำ 1 ซอง และซองสำหรับอุ่นอาหาร ซึ่งเมื่อเอาทุกอย่างออกจากกล่องแล้ว ก็วางซองอุ่นอาหารไว้ล่างสุด แล้วเทน้ำในซองลงไป จากนั้นก็นำกล่องข้าวหอมมะลิวาง และบนสุดคือซองใส่กับข้าว เมื่อซ้อนทุกอย่างตามลำดับแล้ว ก็ปิดฝากล่องอาหาร แล้วทิ้งไว้ซักประมาณ 10-15 นาที ในช่วงนั้นก็จะเริ่มมีไอน้ำและควันออกมาจากกล่อง นั่นคือร้อนถึงร้อนมาก ซึ่งคุณแก้วบอกว่าต้องระวังอย่าไปจับในช่วงที่ไอร้อนขึ้นเยอะๆ ถ้าไม่ได้จับเวลา ก็ดูไอร้อนค่อยๆ จาง ก็เปิดออกมาทานได้เลย

กลมกิ๊กทูโก มีเมนูอาหารเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่า ขึ้นเขา หรือไปท่องเที่ยวในที่ๆ ไม่สะดวกในการติดตั้งเตาหรือไม่มีไฟฟ้า ก็สามารถทำได้ทุกที่ทั่วโลกจริงๆ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องซื้อ แต่ด้วยความใจดีของพี่เปี๊ยกและคุณแก้ว เลยให้มา 1 กล่อง ซึ่งเราก็เลือก เมนูข้าวหอมมะลิ แกงมัสมั่นไก่ ซึ่งทำทานแล้วขอ บอกว่าอร่อยหลุดโลกเลยค่ะ

พูดคุยสัมภาษณ์กับเจ้าของร้านทั้ง 2 ท่านนานพอสมควร  ลูกค้าเริ่มเข้าร้านเยอะมากแล้วค่ะ จะถ่ายภาพลูกค้าก็เกรงใจนะคะ เค้าคงอยากมาใช้เวลาส่วนตัวในการรับประทานอาหารที่ถูกปาก กะคนถูกใจ เราจึงต้องรีบขอตัวกลับก่อน และท้ายสุดต้องรีบถามคำถามสุดท้ายถึงเวลาเปิดปิดของบ้านกลมกิ๊ก ได้ความว่าเปิดบริการทุกวัน  กลางวัน ตั้งแต่ 11.30-14.30 น. และ เวลา 18.00-22.00 น. ส่วนวันศุกร์และวันเสาร์ เปิดบริการถึง 23.00 น.ค่ะ

*สำหรับร้านอาหารบ้านกลมกิ๊ก สามารถรับลูกค้าชั้นล่าง บริเวณด้านนอกได้ 40 ท่าน และภายในร้านชั้นล่างได้ 40 ท่าน *ส่วนชั้นบน สามารถรับลูกค้าได้ 60 ท่าน และยังมีห้องวีไอพี 1 ห้อง สามารถรับลูกค้าได้ 14-15 ท่าน *บัตรเครดิต
บริการรับบัตร VISA, MASTERCARD

การเดินทางมารับประทานอาหารที่บ้านกลมกิ๊ก ก็แสนจะง่ายและสะดวก ถ้าจะเดินทางแบบสบาย รวดเร็ว ก็ต้องรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีเพลินจิต ทางออกที่ 4 ฝั่งเดียวกับตึกคิวเฮ้าส์ (ฝั่งตรงข้ามทางด่วน) แล้วเรียกวินมอไซด์ มาที่ซอยร่วมฤดีซอย 1 (ซ้ายมือ) เข้าซอย 1 มาไม่ไกลร้านจะอยู่ขวามือ

#ปักหมุดไว้ได้เลย ร้านอาหารบ้านกลมกิ๊ก ซอยร่วมฤดี  (ซอย 1 แยกซ้ายมือ) เลขที 25 ซอยร่วมฤดี 1 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 25 Soi Ruamrudee 1 Lumpini Patumvan Bangkok 10330 โทรศัพท์ (Tel.) :02-254-4254  โทรสาร (Fax) : 02-254-7003 E – mail Add. : baanglomgig@hotmail.com Facebook : Baan Glom Gig – บ้านกลมกิ๊ก

*ขอขอบคุณ คุณเปี๊ยก จรัสพงศ์ จารุโชติพัฒน์ และ คุณแก้ว กรณ์ กิจเจริญ ที่ให้การต้อนรับ DayByDayStory อย่างอบอุ่นและเป็นกันเองมากๆค่ะ *ขอขอบคุณภาพบางภาพจากเพจเฟสบุค บ้านกลมกิ๊ก