รีวิว :เมธาคันทรี่วิว โฮมสเตย์สิงห์บุรี สัมผัสวิถีชาวบ้านนอกคอกนา ที่ไม่ธรรมด๊า ธรรมดา

Review By Tan

เมื่อยามที่ร่างกายและจิตใจโหยหาธรรมชาติ ในเมืองอย่างกรุงเทพช่างหายากซะเหลือเกิน ธรรมชาติที่ว่านี้หมายถึงท้องทุ่งนาของแท้ ดั้งเดิม ที่สามารถไปเดินเล่น ผ่อนคลาย พักผ่อนหย่อนใจได้ เราชาว DayByDaystory ก็ต้องเสาะแสวงหาให้เจอตามใจต้องการ และแล้วเราก็ได้พบกับความไม่ธรรมดาของโฮมสเตย์ที่นึงในจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณไม่เกิน 2 ชม. แบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ ปักหมุดได้เลยรับรองว่าโดนกายและใจเต็มๆค่ะ ที่เมธาคันทรี่วิวโฮมสเตย์สิงห์บุรี นี่เอง

มาพบกับบรรยากาศแบบวิธีชาวบ้าน มองท้องฟ้าและเดินบนทุ่งนาที่กว้างใหญ่ พร้อมนอนพักแบบโฮมสเตย์ หลังกระทัดรัดซึ่งมี 2 หลัง และมีเรือนไทย 2 ชั้นอีก 1 หลัง ที่มองเห็นความเป็นไทยอย่างเด่นชัด บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ของคุณเมธา ญาดี หนุ่มหล่อมาดเข้มแบบพระเอกหนังไทยช่อง 7 เลยทีเดียวค่ะ

คุณเมธาบอกว่าโฮมสเตย์นี้เปิดมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีจุดเร่ิมต้นหรือแรงบันดาลใจในการทำบ้านท้องทุ่งนี้ให้เป็นโฮมสเตย์ เพราะต้องการให้จังหวัดสิงห์บุรีเป็นที่รู้จักและรองรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและวิถีชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์อย่างแท้จริง ที่ไม่ได้จำลองมาก แต่ที่นี่มีที่นาจริงๆ ปลูกนา ปลูกผัก บ้านก็เป็นเรือนไทยจริงๆ โดยตั้งชื่อเมธาตามชื่อตัวเอง เพราะเป็นที่รู้จักของคนเมืองสิงห์ และมีเครือข่ายทางโซเชียลที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เริ่มลุยเลยทั้งๆ ที่ไม่ได้มีพื้นฐานการทำรีสอร์ตหรือโฮมสเตย์มาก่อนเลย อาศัยใจรักล้วนๆ คุณเมธาบอกกับเราว่าการทำโฮมสเตย์นี้เป็นการสร้างอาชีพเสริมจากงานประจำ ซึ่งเป็นข้าราชการอยู่ ที่ผ่านมาก็มีการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องและมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนพ้องในแวดวงอยู่แล้ว และนอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมการทำขนมไทยที่โฮมสเตย์นี้อีกด้วย โดยในวันที่เราไปพัก ก็มีน้องๆนักศึกษามาขอเรียนทำขนมไทย ฝอยทอง คุณแม่คุณเมธาเป็นผู้สอนเองกับมือ ที่นี่มีเตรียมชุดไทยไว้ให้แขกที่มาพัก ได้สวมใส่เพื่อมาร่วมกิจกรรมแบบวิธีไทยอีกด้วย หรือหากผู้ที่มาพักเตรียมชุดไทยมาก็ได้เช่นกัน

เราเดินทางไปถึงที่เมธาโฮมสเตย์ในช่วงบ่าย ทางคุณแม่ของคุณเมธากำลังสอนน้องๆ นักศึกษาทำขนมฝอยทองอยู่ เราจึงเข้าไปร่วมแจม แต่เสียดายไม่ได้ใส่ชุดไทย แต่ก็ได้ถ่ายภาพน้องๆ ที่กำลังสนุกสนานกับการเรียนรู้ เราก็ได้แอบไปทำฝอยทองและก็ได้รับประทาน ขอบอกว่าสดอร่อยมาก ทำเสร็จก็รับประทานเลย ไม่หวานจนเกินไป ทำให้แอบขอรับประทานเพิ่มไปอีกเล็กน้อยโดยไม่เกรงใจความอ้วน ขอรับประทานของอร่อยก่อน แล้วค่อยไปลดวันหน้าล่ะกันนะคะ

หลังจากนั้นเราก็ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ทานอาหารเย็นที่ระเบียงหน้าห้อง แล้วก็เข้าห้องพักผ่อน เพราะรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อใส่บาตร มีบริการปลุกตอนเช้าโดยเจ้าของโฮมสเตย์มาปลุกพวกเรา และจัดเตรียมถาดอาหารสำหรับใส่บาตรไว้อย่างเรียบร้อย โดยคุณเมธานำมาให้พวกเราด้วยตัวเอง (น่ารักจริงๆ ) พระท่านมาบิณฑบาตรถึงในโฮมสเตย์ เวลาประมาณ 6 โมง พวกเราใส่บาตรข้างทุ่งนา และก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ก็เดินเล่นบริเวณที่พัก วันนี้เรารู้สึกถึงความอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ได้ชื่นชมกับธรรมชาติ วิถีชาวบ้าน และได้ใส่บาตรตามวิถีทางพุทธอีกด้วย

ด้วยอากาศที่ไม่ร้อน เพราะตอนกลางคืนฝนตก ทำให้เย็นสบาย ถ่ายภาพและสนุกสนานเพลิดเพลินจนได้เวลาที่ทางคุณแม่คุณเมธาทำอาหารเช้ามาให้เราทาน ว๊าววววว เป็นข้าวต้มหมูเด้งโบราณ ที่อร่อยมาก ด้วยรสฝีมือของคนโบราณ จึงรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ และพิถีพิถันในการปรุงข้าวต้มหม้อนี้ พวกเราทานกันคนละ 2-3 ชาม และก็ตบท้ายด้วยกาแฟ น้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋ที่จัดเตรียมไว้ ใครอยากทานกาแฟ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ก่อนก็ได้ แต่ดิฉันขอข้าวต้มรสมือคุณแม่จนอิ่มท้องแล้ว ค่อยตามด้วยกาแฟค่ะ ส่วนน้ำเต้าหู้กะปาท่องโก๋ก็ไม่ปฏิเสธนะคะ ไหนๆมาเที่ยวหาความสุขแล้ว เรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่มีการยกเว้นค่ะ

สำหรับที่พักนั้นรองรับลูกค้าได้ประมาณ 20 คน ซึ่งจะแบ่งออกเป็นบ้านเล็ก 2 หลัง และเรือนไทยใหญ่ พักชั้นบนอีก 2 ห้องนอน พร้อมอาหารเช้า และมีแพคเกจเสริมเป็นชุดไทยใส่บาตรพระ รวมอยู่ในราคาห้องพักที่แสนถู๊ก ถูก

คุณเมธายังบอกอีกว่า เมธาโฮมสเตย์เป็นเป้าหมายต้นๆของการพักผ่อน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ กันเอง โดยไม่ได้มุ่งหวังในเชิงธุรกิจ ขอเพียงเลี้ยงตัวเองอย่างพอเพียง และมีโอกาศแบ่งปันให้ผู้คนรอบข้างก็สุขใจแล้ว

ใครชอบบรรยากาศแบบชาวบ้าน วิถีบ้านนอกคอกนาขนานแท้ ก็เชิญมาได้เลย คุณจะต้องหลงรักเมธาโฮมสเตย์และที่สำคัญ คุณจะหลงรักคุณแม่และคุณลูกเจ้าของโฮมสเตย์แห่งนี้ ในการให้ความเป็นกันเองและมีน้ำใจแบบชาวบ้านที่หาได้ยากในเมืองกรุงค่ะ และในช่วงโควิดนี้ ทางเมธาโฮมสเตย์ก็ลดราคาให้ 100 บาททุกห้องพักด้วยนะคะ