26/04/2024

คนรุ่นใหม่มากความสามารถ ‘ณัฐวัฒน์ พอใช้ได้’ หรือ ‘คุณออด’ วัย 32 ปี เป็นทั้งนักกฎหมาย นักบริหาร และยังเป็นทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลที่เริ่มบุกเบิกมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด ปัจจุบันนอกจากงานด้านกฎหมายแล้ว เขายังทำธุรกิจออแกไนซ์ด้านการศึกษา และธุรกิจเพื่อสังคมอย่าง Hospitel ในช่วงที่โควิด-19 ยังคงระบาดอีกด้วย เรียกว่าเป็นคนรุ่นใหม่เปี่ยมคุณภาพที่พร้อมทุกด้านและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เราจึงอดที่จะทำความรู้จักกับชายหนุ่มอนาคตไกลคนนี้ไม่ได้

ก่อนอื่นขออัพเดตหน่อยว่า จบการศึกษามาทางด้านไหนบ้าง
“แรกเริ่มผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และย้ายมาเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนโพธิสารพิทยากร หลังจากนั้นจึงตั้งใจที่จะให้โอกาสตัวเองในการเลือกเรียนต่อในคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) เพราะรู้สึกว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญ ต่อมาพอผมรู้ตัวเองว่ามีความสนใจในด้านการเมือง ผมจึงได้เรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขาการจัดการการเมืองและการปกครอง ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ผมจึงกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ที่วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังครับ”

-ปัจจุบันนอกจากงานด้านกฎหมายแล้ว ยังทำงานด้านไหนอีกบ้าง
“งานด้านกฎหมายที่ทำอยู่ ถือเป็นอาชีพหลักในการดำรงชีวิตของผม แต่ขอเล่าย้อนไปสักหน่อยว่า ที่จริงแล้วครอบครัวผมไม่ได้มีใครประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายเลย ตั้งแต่รุ่นคุณทวดท่านก็เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายแรกๆ ของประเทศไทย ที่ดินบริเวณรัชดา ห้วยขวาง คุณทวดก็เป็นผู้พัฒนามาตั้งแต่ยังเป็นสวนผักคะน้า อาทิ หมู่บ้านชัยณรงค์ในย่านห้วยขวาง อาคารพาณิชย์ในตลาดห้วยขวาง เลยมาถึงเส้นประชา สงเคราะห์ และหลักสี่พลาซ่า ห้างสรรพสินค้าที่มีเสาโรมันหลายๆ ต้นอยู่ด้านหน้าในย่านหลักสี่ (ปัจจุบันได้ขายให้กับไอทีสแควร์) เป็นต้น จนมาถึงรุ่นคุณปู่ ท่านได้ขยายมาพัฒนาที่ดินย่านฝั่งธนบุรี ในชื่อหมู่บ้านชัยมงคล (บางแค/พระประแดง) หมู่บ้านสรัลพร (หนองแขม/เพชรเกษม) และยังมีที่ดินในย่านถนนกัลปพฤกษ์จำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาพัฒนา ซึ่งคุณพ่อผมก็เรียนจบนิติศาสตร์เช่นกัน แต่พ่อก็ได้มาช่วยงานคุณปู่ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ

ผมในฐานะหลานชายคนโต (และลูกชายคนโต) ด้วยธรรมเนียมคนจีน จึงเป็นที่คาดหวังในการสืบทอดกิจการทั้งหลายของครอบครัว แต่ด้วยความเข้าใจ คุณพ่อก็เคารพการตัดสินใจของทุกคนในครอบครัวเสมอ ผมจึงได้เลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ทั้งเรื่องการเรียนและการประกอบอาชีพ แม้บางครั้งผมจะถูกร้องขอให้ไปช่วยตรวจสอบที่ดินตามที่ต่างๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่หลักในความรับผิดชอบ ผมจึงเริ่มฝึกวิชาทนายความที่ บริษัท มารุต บุนนาค อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด ซึ่งพูดได้เต็มปากเลยว่า ผมคือศิษย์เอกรุ่นสุดท้ายของ ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ในวัย 97 ปี เจ้าของสำนักงาน ซึ่งเป็นอดีตประธานรัฐสภา และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง จึงทำให้ผมได้ซึมซับความรู้ทางกฎหมาย และศิลปะทางการเมืองจากอาจารย์มารุตได้เป็นอย่างดี

เมื่อมีชั่วโมงบินมากพอ อาจารย์มารุตก็แนะนำให้ผมเปิดบริษัทกฎหมายของตัวเองในชื่อ บริษัท ณัฐพร อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเก่าของคุณปู่ในย่านห้วยขวาง โดยชื่อนี้ได้รับความเมตตาจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และกรรมการมหาเถรสมาคม ประทานตั้งให้ ตั้งแต่ปี 2557 และเริ่มรับงานคดีจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำต่างๆ เรื่อยมา จนปัจจุบันเรามีลูกความไม่น้อยกว่า 100 ราย ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา สิ่งที่ทำให้บริษัทเราแตกต่างจากที่อื่นก็คือ เรามีทีมงานที่ปรึกษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านคอยให้คำปรึกษา ความเห็น และแนะนำเทคนิคในแต่ละเรื่องที่ละเอียดซับซ้อนได้เป็นอย่างดี ทำให้เรามีฐานลูกความเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองจำนวนมาก

ต่อมาผมกับเพื่อน (คุณอมาวรินทร์ อินทรีย์สุข) ได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท อีโคเซฟ จำกัด ขึ้นเมื่อปี 2560 เพื่อทำธุรกิจออแกไนซ์งานด้านการศึกษา เช่น เป็นผู้จัดงานมหกรรมทางการศึกษา EduLife 2018 ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (พระยศในขณะนั้น) เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน และเรายังเป็นผู้จัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง Oxford Programme On Negotiation in Bangkok 2019 จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด โดยได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับ Tim Cullen MBE ผู้ก่อตั้ง The Oxford Programme on Negotiation ซึ่งถือเป็นหลักสูตรที่แพงที่สุดในประเทศไทย และใช้เวลาอบรมเพียง 5 วัน โดยอาจารย์และทีมงานที่มาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดทั้งหมด

รวมทั้งธุรกิจล่าสุดที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็คือ Hospitel เพื่อรองรับปริมาณผู้ป่วยโควิดที่ยังไม่มีที่พักรักษาตัวที่ถูกต้องตามสุขอนามัย ในชื่อ ‘ไทยรอด ฮอสปิเทล โรงแรมพูลแมน อโศก’ ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจที่เราได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลเกษมราฎร์ รัตนาธิเบศร์ อินเตอร์เนชันแนล ด้วยครับ”

ทราบมาว่าผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ มากมาย ได้ความรู้และประสบการณ์อย่างไรบ้าง
“การได้อบรมหลักสูตรต่างๆ ก็เหมือนเป็นการติดอาวุธทางปัญญาอีกทางหนึ่ง ผมขอพูดถึงแค่บางหลักสูตรนะครับ อย่างหลักสูตรแรกที่มีโอกาสเข้าไปอบรมก็คือ หลักสูตรประกาศนียบัตร ผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย (ปนป.) รุ่นที่ 2 จัดอบรมโดยสถาบันพระปกเกล้า เมื่อผมมีความสนใจในงานการเมือง ความรู้ที่ได้จากการอบรมก็ทำให้ผมรู้จักคำว่า ผู้นำ หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่จะเป็นผู้สนับสนุนบทบาททางการเมือง ขณะที่สภาพสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญ่ หลากหลาย ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ‘ผู้นำ’ แบบเดิมของไทยจึงไม่สามารถแสดงบทบาททางการเมืองให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ส่งผลให้การเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ย่อมต้องการ ‘ผู้นำรุ่นใหม่’ เพื่อเข้ามามีบทบาททางการเมืองให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ที่สามารถวิเคราะห์ รับรู้กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างถูกต้อง และสามารถตอบสนองต่อประชาชนได้อย่างเต็มที่ การอบรมครั้งนี้จึงทำให้ได้รับประสบการณ์ตรงจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ต่างก็มาจากผู้นำจากภาคการเมือง ภาคราชการ และภาคเอกชนรุ่นใหม่มากมายเลยครับ

นอกจากนั้นก็มีหลักสูตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของผมโดยตรง เช่น หลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) รุ่นที่ 12 จัดโดยวิทยาลัยกิจการยุติธรรม และหลักสูตรกลยุทธ์การบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (RE-CU JUNIOR) รุ่นที่ 6 จัดอบรมโดยสมาคมผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น”

-งานที่ทำล้วนเกี่ยวข้องกับด้านกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ อยากทราบว่างานด้านกฎหมายมีความยาก-ง่าย และความท้าทายจากงานด้านอื่นอย่างไร
“ในแต่ละคดีจะมีรายละเอียดที่ต่างกัน แต่เพื่อที่จะดูแลลูกความให้ดีที่สุด การทำความเข้าใจลูกความ ถึงความต้องการ หรือข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อให้สามารถช่วยเขาได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะลูกความแต่ละคนมี Condition ที่ต่างกัน พวกเขามาหาเราด้วยความต้องการที่ต่างกัน ดังนั้น การพยายามทำความเข้าใจเขาจากใจจริง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่างานที่ปรึกษากฎหมายเป็นเรื่องท้าทาย ส่วนที่ง่ายของงานนี้ ผมเองมองว่ามันไม่ง่าย และคิดว่าทุกงานบนโลกใบนี้ ไม่มีงานไหนง่าย แต่ความท้าทายที่คนอื่นเรียกมันว่าความยาก เป็นสิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนผมให้ยังทำอาชีพนี้อยู่

ในส่วนของงานอื่นๆ ตอนนี้ผมเริ่มทำ ‘ไทยรอด ฮอสปิเทล โรงแรมพูลแมน อโศก’ อยู่ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มาก เพราะว่า 1.ฮอสปิเทล ก่อนมีโควิด-19 ไม่ใช่สิ่งที่แพร่หลายในไทย ดังนั้น จึงไม่มีสูตรสำเร็จให้ผมได้เรียนรู้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่อยากให้ผู้ป่วยมีที่พัก ตอนนี้ความท้าทายก็คือการทำฮอสปิเทลยังไงให้คนที่ป่วยสามารถเข้าถึงการตรวจหรือการรักษาได้ โดยที่ผมเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการหยุดกระจายของโรคระบาดนี้ สุดท้ายแล้วพอมันหยุดแพร่กระจายได้ดี ชุมชนก็จะกลับมาดี สังคมก็จะกลับมาดีขึ้น มันจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผม เพราะผมเองก็กำลังเรียนรู้กับเรื่องนี้อยู่ครับ”

-ที่ผ่านมาเมื่อเจอกับอุปสรรคด้านการทำงาน มีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร
“ด้วยอาชีพที่ทำอยู่ นอกจากตัวกฎหมายที่ต้องรู้แล้ว ซึ่งตัวผมเองไม่ได้มองว่าเป็นความท้าทายหรืออุปสรรคใดๆ เพราะเป็นธรรมดาที่จะต้องอัพเดตหรือเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังต้องเรียนรู้ก็คือศิลปะในการเข้าใจและทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก เพราะตอนเรียนกฎหมายก็จะเป็นแบบนึง แต่พอได้มาทำงานจริงๆ ก็จะเป็นอีกแบบนึง มันมีปัจจัยที่ทำให้การเจอคนแต่ละคนต่างกันเยอะมาก และตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนจำนวนมาก เข้าใจคนที่แตกต่าง และเข้าใจคนที่มี Mind Set หรือความคิดที่ต่างกันอยู่ ฉะนั้นแล้วโอกาสในการพบเจอคนเยอะๆ ได้พูดคุย ได้เรียนรู้ ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดี ทำให้รู้สึกว่าการเจรจาต่อรองกับคน การทำความเข้าใจคนอื่นนั้น เป็นรากฐานที่ดีในการทำงาน ทั้งยังช่วยต่อยอดในการเข้าใจสังคม และการเข้าใจประเทศชาติต่อไป เพราะทุกอย่างล้วนเริ่มจากคนครับ”

-มีคติประจำตัวในการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างไร
“ถ้าวันนี้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวพรุ่งนี้” (ท่านพุทธทาสภิกขุ)

-พูดถึงบทบาทของการเป็นอาจารย์ด้านกฎหมาย ที่ต้องสอนเยาวชนในยุคนี้หน่อยว่า มีอุปสรรคหรือไม่ ถ้ามี ใช้วิธีไหนข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านี้
“น้องๆ และเยาวชนยุคนี้ เขามีความเป็น Global Native สูงมาก น้องๆ เป็นรุ่นที่เห็นเยอะ เห็นโลกกว้าง เข้าใจสิ่งต่างๆ ของโลกใบนี้มากขึ้น ดังนั้น การที่ผมเป็นอาจารย์และได้ไปพบเจอกับน้องๆ รุ่นนี้มามาก ทั้งที่ตัวเองก็อายุไม่ห่างจากน้องๆ มากนัก ก็ทำให้ตัวเราเห็นได้มากเหมือนกัน เราได้เรียนรู้จากการไปสอนพวกเขา พอๆ กับที่เราหวังว่าน้องๆ จะได้จากที่เราสอนไป ได้เห็นความคิดของน้องๆ สมัยนี้ว่า กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือมีการโต้ตอบทันที ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรคอะไรเลย แต่กลับรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปเจอน้องๆ ได้ไปสอน ในขณะที่น้องๆ ได้วิชาจากผม ผมก็ได้มุมมองใหม่ๆ จากการพบเจอคนมากๆ เช่นกัน”

-งานที่ทำมาหลากหลายบทบาทในวัย 32 ครบถ้วนในสิ่งที่อยากทำแล้วหรือยัง มีงานไหนที่อยากลองทำอีกมั้ย
“ถึงแม้ว่าจะได้ทำงานมาหลากหลายมาก แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนในสิ่งที่อยากทำครับ จริงๆ แล้วรู้สึกว่าอยากลองทำงานสายการเมืองดูบ้าง ผมอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ตอนนี้ผมก็พยายามทำงานหลายๆ ส่วนที่จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ ในประเทศเบาลง เช่น ฮอสปิเทล เป็นต้น พอได้ทำแล้วก็เลยรู้สึกว่า ถ้าผมได้มีส่วนร่วมในด้านการเมืองก็คงน่าจะมีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ได้เต็มที่มากขึ้น อีกทั้งเป็นช่วงอายุที่พร้อมแล้วสำหรับงานการเมือง ผมมีทั้งความรู้ และความตั้งใจ จึงอยากลองดูว่าถ้าผมได้โอกาสในการทำงานด้านการเมือง ผมจะทำได้อย่างที่คิดไว้ไหม”


-นอกจากเวลางานแล้ว วันว่างมีกิจกรรมผ่อนคลาย หรือชอบเล่นกีฬาชนิดไหนเป็นพิเศษ
“ในวันว่างผมชอบทำอาหาร เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือข้าวซอย ส่วนกีฬาผมจะชอบตีกอล์ฟครับ เรียกว่าป็นช่วง Me Time สำหรับตัวเองก็ว่าได้” (ยิ้ม)
-สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมากที่สุด หลังจาก Covid-19 ผ่านพ้นไปแล้ว
“ที่จริงผมไม่ได้มีสถานที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้คิดถึงการท่องเที่ยวเหมือนกัน เพราะเป็นช่วงที่ได้ Reflect กับตัวเองว่า การที่มีโรคระบาดที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน มันมีผลกระทบกับพวกเราขนาดนี้ได้ยังไง ซึ่งต้องถือว่าเป็นหนึ่งบทเรียนในชีวิตที่ผ่านมา ดังนั้น พอโควิด-19 จบไปแล้ว ก็ทำให้รู้ว่าความสำคัญของการท่องเที่ยวมันเป็นแบบนี้ ความสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนมันเป็นยังงี้ เพราะเรา เป็นประเทศที่เศรษฐกิจเจริญเติบ โตด้วยการท่องเที่ยว ซึ่งถ้าผมได้มีโอกาสเข้าไปทำงานการเมืองก็จะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ครับ”


https://www.facebook.com/natthawat.porchaidai

https://www.instagram.com/oody55/
https://twitter.com/natthawatoody